รวมสูตรน้ำพริกยอดฮิต อร่อยเด็ดถถึงใจ
น้ำพริกจัดเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมนำมาทานอย่างมาก เพราะสังคมทำงานในปัจจุบัน เป็นสังคมที่มีความรีบเร่งอยู่เสมอ คนจึงนิยมซื้อน้าพริกมาเก็บไว้เพื่อนำไปกินต่อในวันหน้า เพราะมีความสะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งยังมีรสชาติที่ดีเมื่อนำไปกินกับอาหารอื่นด้วย เลยค่อนข้างที่จะมีความนิยมที่สูงเรื่อยมา
หลายๆ คนที่การดัดแปลงน้ำพริกให้มีหลายสูตรมาขึ้น เพื่อความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย เพื่อให้น้ำพริกที่ตนทำขายนั้นมีคนมาซื้อ เราจึงเริ่มเห็นการพัฒนา และปรับปรุงสูตรน้ำพริกกันมาเรื่อยๆในปัจจุบัน หลายๆภาคก็จะมีสูตรน้ำพริกที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะพามาทำน้ำพริกสูตรเด็ด ที่ทำแล้วรับรองเลยว่าอร่อยไม่แพ้ร้านค้าอย่างแน่นอน จะมีน้ำพริกสูตรไหนบ้างไปดูกันเลย
1.น้ำพริกปลาทู
น้ำพริกปลาทู เป็นเมนูยอดฮิตของใครหลายๆคน สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากสมัยก่อนคนนิยมกินเนื้อสัตว์น้ำมากว่าสัตว์บนบกและเนื่องจาก กลัวว่าสัตว์น้ำที่ปรุงจะคาวเลยมีการคิดค้นการปรุงขึ้นมาจากวัตถุดิบต่างๆเพื่อให้รักษาระยะเวลาที่เก็บไว้ได้นาน ทำให้เราได้รับสูตรน้ำพริกปลาทูในปัจจุบัน
ส่วนผสม
|
ปริมาณ
|
---|---|
ปลากระป๋องชนิดเข้นข้นพิเศษ
|
2 กระป๋อง
|
พริกป่น
|
1 ช้อนชา (หรือใส่ตามประมาณที่ชอบ)
|
มะนาว
|
1 ลูก
|
หอมแดง
|
1 ลูก
|
กระเทียม
|
4 กลีบ
|
พริกหั่น
|
100 กรัม
|
ขั้นตอนการทำน้ำพริกปลาทู
- นำปลากระป๋องใส่เข้าไปในภาชณะที่เตรียมไว้
- จากนั้นตามด้วยพริกป่น มะนาว หอมแดงซอย กระเทียม พริกหั่น และคลุกเคล้าให้เข้ากัน
- เมื่อคลุกเคล้าให้เข้ากันเรียบร้อยแล้วก็จัดใส่จาน ทานกับข้าวสวยร้อนๆได้เลย รับรองอร่อยมาก
2.น้ำพริกกากหมู
น้ำพริกกากหมู เป็นเมนูที่อร่อย จะลืมพูดถึงไม่ได้เลย เนื่องจากเคยเป็นกระแสดังในโลกออนไลน์ ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปซื้อกันอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ ทำไมถึงเป็นที่นิยมกันขนาดนั้น เนื่องจากในสมัยก่อน มีการนิยมใช้น้ามันหมูในการทำอาหาร ทำให้มักเหลือกากหมูไว้
เนื่องจากไม่อยากทิ้งกากหมูไปเฉยๆ จึงมีการนำกากหมูนั้นต่อยอดมาเป็นน้ำพริก หรือที่เรียกในปัจจุบันว่าน้ำพริกกากหมูนั้นเอง
ส่วนผสม
|
ปริมาณ
|
---|---|
หนังหมู
|
1 กิโล
|
กระเทียม
|
5 หัว
|
พริก
|
250 กรัม
|
ใบมะกรูด
|
150 กรัม
|
น้ำตาล
|
2 ช้อนโต๊ะ
|
เกลือ
|
½ ช้อนโต๊ะ
|
พริกป่น
|
1 ช้อนโต๊ะ
|
รสดี
|
1 ช้อนโต๊ะ
|
ขั้นตอนการทำน้ำพริกกากหมู
- เอาหนังหมูไปต้ม 30 นาที จากนั้นนำมาหั้นเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปต้มให้กระทะอีกหนึ่งรอบ
- นำไปคั่วโดยค่อยๆผัดให้น้ำหมูแห้ง และจะมีน้ำมันออกมาและก็ตักเอากากหมูมาตั้งทิ้งไว้
- จากนั้นใช้น้ำมันเก่าในการเจียวกระเทียม จากนั้นนำพริกไปทอด ตามด้วยการทอดใบมะกรูด และนำไปปั่นรวมกัน
- ตั้งภาชนะในการปรุง ใส่น้ำตาลลงไป ตามด้วยเกลือ และพริกป่น รสดี และผสมส่วนประกอบให้เข้ากันทั้งหมดก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
3. น้ำพริกหนุ่ม
น้ำพริกหนุ่ม จัดเป็นอีกหนุ่งเมนูที่นับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัณของคนในภาคเหนือของไทยเลยก็ว่าได้ โดยน้ำพริกหนุ่มจะมีส่วนประกอบที่สำคัญอย่าง พริกมัน บางสูตรเพื่อเพื่อรสชาติให้นัวมากขึ้น ก็อาจจะมีการเติมกะปิ หรือเติมปล้าร้าเข้าไป
ในอดีตนั้นทางภาคเหนือของไทยเคยเป็นอาณาจักรล้านนามาก่อน และเป็นอาณาจักรที่ค่อนข้างมีความรุ่งเรืองในสมัยนั้น คนในสมัยนั้นนิยมไม่ใส่น้ำตาลในการทำอาหาร จะแทนที่ความหวานนั้นด้วยผักหรือปลาจึงทำให้ น้ำพริกหนุ่ม ถูกเผยแพร่ของไปอย่างแพร่หลายในสมัยนั้น และในปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่
ส่วนผสม
|
ปริมาณ
|
---|---|
รสดี
|
1 ช้อนโต๊ะ
|
เกลือ
|
1 ช้อนโต๊ะ
|
พริกหนุ่ม
|
1,000 กรัม
|
พริกชี้ฟ้าเขียว
|
700 กรัม
|
หอมแดง
|
700 กรัม
|
กระเทียม
|
700 กรัม
|
ขั้นตอนการทำน้ำพริกหนุ่ม
- นำพริกหนุ่มมาคั่วในกระทะ ใช้ไฟอ่อน คั่วจนพริกมีลักษณะนิ่มค่อยนำขึ้นจากกระทะ
- จากนั้นต่อด้วยการคั่วพริกชี้ฟ้าเขียว หอมแดง และกระเทียม โดยคั่วแยกกัน
- แช่พริกที่คั่วไว้ในน้ำเปล่า จนเปื่อยละลอกเปลือกออก
- นำเนื้อพริกที่ลอกออกมาตำ พอแหลกก็ตักขึ้นจากครก
- นำกระเทียมมาตำต่อให้ละเอียด และตักพักไว้ก่อน
- นำหอมแดงมาตำต่อให้ละเอียด และนำพริก กระเทียม ที่ตำไว้ใส่เข้าไปและปรุงรส ด้วยเกลือ รสดี และตำให้ละเอียดอีกครั้ง ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
4. น้ำพริกกะปิ
น้ำพริกกะปิ จัดเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทานกันในไทย และยังมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย ส่วนประกอบหลักของน้ำพริกนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือกะปิ ซึ่งวิธีการทำจะไม่ใส่กะปิไปเฉยๆ แต่จะมีการนำเอากะปินั้นไปเผาไฟก่อน ให้เนื้อกะปินั้นมีสีน้ำตาลอมม่วง
มีการสันนิษฐานน่าจะมาจากคาบสมุทรมลายูและทางตอนใต้ของประเทศไทย ทุกวันนี้หากเดินทางไปที่ไหนในภูมิภาคนี้ก็จะเห็นกะปิถูกขายแถบทุกภูมิภาค และกะปิภาษามาเลย์จะถูกเรียกว่า เบลาจัน (Belacan) อินโดนีเซียจะถูกเรียกว่า เตราซี (Terasi) ส่วนพม่าเรียก งาปิ๊ (Ngapi) ซึ่งมีความคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงอย่างมากกับชื่อกะปิของคนไทย
ส่วนผสม
|
ปริมาณ
|
---|---|
กะปิหวาน
|
1 กิโลกรัม
|
กะปิแบบกระปุกธรรมดา
|
2 กระปุก
|
กระเทียม
|
3-4 กลีบ
|
น้ำตาลปิ๊ปนิ่ม
|
1 กิโลกรัม
|
พริกจินดาแดง
|
1 กิโลกรัม
|
พริกจินดาเขียว
|
250 กรัม
|
น้ำมะนาว
|
200 กรัม
|
น้ำต้มสุก
|
200 กรัม
|
ขั้นตอนการทำน้ำพริกกะปิ
- นำกะปิหวาน ผสมกับ กะปิแบบกระปุกธรรมดา จากนั้นตามด้วยกระเทียมน้ำตาลปิ๊ปนิ่มพริกจินดาแดง 1 กิโลกรัม และ พริกจินดาเขียว 250 กรัม ปั่นให้เข้ากัน
- นำภาชนะใบใหญ่มา จากนั้นตามด้วยใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงในภาชนะเติมน้ำมะนาวและน้ำต้มสุกเข้าไปก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
5. น้ำพริกลงเรือ
น้ำพริกลงเรือจัดเป็นน้ำพริกที่มีความเป็นมาจากในวังสวนสุนันทา เรียกได้ว่าเป็นน้ำพริกชาววังเลยทีเดียว ที่มาคำว่า “น้ำพริกลงเรือ” มาจากสมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดลเคยมีพระประสงค์ล่องเรือไปตามคูคลองในเขตอุทยานวังสวนสุนันทา จึงได้มีการรับสั้งให้เตรียมของเสวยให้
ซึ่งตอนนั้นของเสวยที่เหลืออยู่ในครัวจะมี กะปิ ปลาฟู หมูหวาน ไข่แดงเค็ม ทางคนเตรียมสำรับให้ก็เลยมีการนำมาผสมกันเพื่อจัดทำเป็นเครื่องเสวย เลยทำให้กลายเป็นเมนูที่โปรดปรานอย่างมากของสมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดลในสมัยนั้น
ส่วนผสม
|
ปริมาณ
|
---|---|
หมู 3 ชั้น
|
500 กรัม
|
เกลือ
|
½ ช้อนชา
|
มะอึกแช่น้ำ
|
200 กรัม
|
หอมแดง
|
200 กรัม
|
ปลาดุกฟู
|
200 กรัม
|
กระเทียมดองหั่นเนื้อ
|
150 กรัม
|
ไข่เค็ม
|
3 ฟอง
|
น้ำมัน
|
1 ช้อนชา
|
น้ำตาลปิ๊ป
|
1 ช้อนโต๊ะ
|
ซีอิ้วดำ
|
½ ช้อนโต๊ะ
|
น้ำพริกกะปิ
|
500 กรัม
|
ขั้นตอนการทำน้ำพริกลงเรือ
- ตั้งกระทะใส่น้ำมัน จากนั้นตามด้วยหอมแดงเจียว รอสักพักให้มีกลิ่นหอมใส่หมูสามชั้นลงไป จากนั้นตามด้วยน้ำตาลปิ๊ป น้ำตาลทราย ใส่น้ำเปล่านิดหน่อย ผัดจนน้ำตาลละลาย
- ตามด้วยซีอิ้วดำ น้ำปลา ผัดให้เข้ากัน 2-3 นาที
- เทน้ำพริกกะปิลงในชามผสม ใส่มะอึกลงไป กระเทียมดอง หมูหวาน และปลาดุกฟูคนให้เข้ากัน นำไปทานกับไข่เค็มและผักเคียงตามชอบได้เลย