แนะนำ 5 ไอเดียธุรกิจอีคอมเมิร์ซลงทุนน้อย
หนึ่งในความท้าทายที่ผู้ประกอบการและผู้ขายออนไลน์ คือการค้นหาไอเดียธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณมากเกินไป
นอกจากนี้นักธุรกิจหรือว่าพ่อค้าแม่ค้าหลายคนต้องการธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เวลาและแรงงานมากนัก ทำให้การค้นหาธุรกิจไอเดียเหล่านั้นมีความยากและอาจจะไม่ตอบโจทย์
อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องหนักใจเราได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์ไอเดียธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ลงทุนน้อย นอกจากนั้นยังง่ายในการจัดการ
1.Dropshipping ดรอปชิปปิ้ง :
ดรอปชิปปิ้งเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ปลอดภัย ดรอปชิปปิ้งเป็นธุรกิจที่ช่วยให้คุณขายสินค้าโดยไม่ต้องซื้อสินค้าคงคลังใด ๆ ในฐานะผู้ดรอปชิปปิ้งคุณจะรับบทบาทเป็นสะพานระหว่างร้านค้าอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่และผู้ซื้อ
โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงทางการเงินใด ๆ ปัจจุบัน 33% ของร้านค้าออนไลน์ใช้รูปแบบการขายดรอปชิปปิ้งเป็นแบบหลักของพวกเขา
การเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปปิ้งมักจะใช้เงินลงทุนตั้งแต่ 0 บาทถึงหลักหมื่น หากคุณมีงบประมาณน้อยและคุณต้องการทำบางสิ่งอย่างคุณสามารถเริ่มต้นได้ทันที
- ก่อนอื่นคุณต้องตัดสินใจว่าจะขายสินค้าอะไร
- หลังจากนั้นสร้างร้านค้าออนไลน์ของคุณ
- ค้นหาซัพพลายเออร์และสามารถเริ่มได้เลย
โปรดทราบว่าในขณะที่คุณสามารถเริ่มต้นโดยไม่ต้องมีทุน การดรอปชิปปิ้งต้องใช้การศึกษาลูกค้าอย่างหนัก การวิเคราะห์คู่แข่งและการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด
2.Print-on-Demand พิมพ์ตามคำสั่ง :
การพิมพ์ตามคำสั่งซื้อทำให้สามารถขายโดยไม่ต้องมีสินค้าคงคลัง พิมพ์ตามคำสั่งซื้อ (POD) ช่วยให้คุณสามารถหาเงินออนไลน์ได้โดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยง เวลา และค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้าคงคลัง
ด้วย POD คุณสามารถร่วมงานกับผู้สร้างสรรค์เช่นนักเขียน ศิลปิน นักออกแบบและผู้ประกอบการเพื่อขายผลิตภัณฑ์ของพวกเขาโดยไม่เสี่ยงในด้านความเสี่ยง กล่าวคือคุณจะไม่ต้องค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าจนกว่าคุณจะทำการขายจริงจัง ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องซื้อส่งสินค้าหรือเก็บสินค้าคงคลังใด ๆ
POD ใช้กลยุทธ์ที่คล้ายกับดรอปชิปปิ้ง แต่ความแตกต่างสำคัญคือซัพพลายเออร์ของคุณจัดการทุกอย่างหลังจากการขาย – ตั้งแต่พิมพ์ดิจิตอลจนถึงการสั่งซื้อและการจัดส่ง
ไอเดียธุรกิจพิมพ์ตามคำสั่งอันนี้ลงทุนน้อย แต่ว่าแน่นอนว่าการพิมพ์ตามคำสั่งซื้ออาจจะทำให้ต้นทุนต่อชิ้นและสินค้าที่คุณขายมีราคาแพงมากยิ่งขึ้นทำให้คุณต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ประกอบเข้าไปด้วยกับการทำธุรกิจของคุณ
3.Affiliate Marketing :
หากคุณสนใจในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของผู้อื่นโดยไม่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการตลาดแบบปกติ การเข้าร่วมโปรแกรม Affiliate คือทางเลือกที่ดีที่สุดของคุณ เพียงคุณค้นหาบริษัทหรือร้านค้าที่คุณต้องการร่วมงาน แน่นอนว่าในปัจจุบันโปรแกรม Affiliate ก็มีมากมายหลายที่คุณสามารถลองเข้าเว็บไซต์เพื่อหาโปรแกรม Affiliate ในอินเตอร์เน็ตได้ไม่ยากหลังจากนั้นคุณก็เพียง ลงทะเบียน รับรหัสติดตามและเริ่มขาย
โดยหากพูดถึง Affiliate ให้เห็นภาพอย่างง่ายแล้วล่ะก็ก็ไม่ต่างกับการที่เรารีวิวสินค้าให้ผู้อื่นหลังจากนั้นหาผู้อื่นซื้อสินค้าผ่านลิงก์เราแล้วล่ะก็เราก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการขายชิ้นนั้นด้วยนั่นเองทำให้เราไม่ต้องลงทุนหรือไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการขายเลยทีเดียว
Affiliate มีข้อดีมากมาย ตัวแรกคือง่าย นอกจากนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีทุนเพื่อสต๊อกสินค้าหรือขาย นอกจากนี้ยังมีแบรนด์หลายแบรนด์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณเป็นอย่างดีอีกด้วย
4.สร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลหรือคอร์สออนไลน์
การสร้างคอร์สออนไลน์เป็นหนึ่งในไอเดียธุรกิจที่ต้องลงทุนน้อยที่พี่กำลังมาแรง ด้วยเหตุที่การตลาดศึกษาออนไลน์ ในปัจจุบันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและผู้คนในปัจจุบันหันไปศึกษาออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก
คุณสามารถสอนอะไรก็ได้ออนไลน์ เช่น งานฝีมือ ภาษา หรือแม้กระทั่งการเต้นรำ นอกจากนี้ การสร้างคอร์สต้องการความรู้ทางเทคนิค โดยแต่ปัจจุบันก็มีหลายเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางหรือเป็นแพลตฟอร์มให้คุณสามารถเข้าไปสอนและทำเงินจากการขายของได้ อย่างแพลตฟอร์มเช่น Gumroad, Udemy, และ Skillshare ช่วยให้คุณสามารถแปลงความรู้ของคุณให้กลายเป็นกำไรทันที
5.การตลาดดิจิทัล
หากคุณมีความชำนาญในทักษะดิจิทัล การตลาดดิจิทัลเสนอโอกาสที่สมบูรณ์แบบในการหารายได้ออนไลน์โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในระยะเริ่มต้น คุณสามารถให้บริการทักษะต่าง ๆ เช่น การเขียนเนื้อหา บริการ SEO และคำแนะนำต่างๆ
อย่างไรก็ตามทักษะเหล่านี้ต้องการความรู้และประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและอาจใช้เวลานานในการเรียนรู้ การมีทักษะดิจิทัลสามารถทำให้คุณมีเสรีภาพทางการเงินและโอกาสในการทำงานที่ไหนก็ได้โดยไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
ในฐานะที่คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล คุณสามารถเลือกหาลูกค้าของคุณผ่านแพลตฟอร์มเช่น LinkedIn, Facebook, Instagram, Twitter, และอื่น ๆ อีกมากมาย
อย่างไรก็ตามหากคุณไม่รู้วิธีการหาลูกค้า ตลาดออนไลน์เช่น Fast work และ Fiverr สามารถเชื่อมโยงคนทำงานอิสระกับเจ้าของกิจการได้ คุณเพียงแค่เสริมความรู้ของคุณ เรียนคอร์สเล็ก ๆ น้อย ๆ และสร้างบัญชีฟรีแลนซ์ของคุณ
แนะนำ 5 ขั้นตอนสร้างความเข้าใจในการวิจัยตลาด:
1.ระบุแนวโน้มของอุตสาหกรรม
ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะผู้ขายออนไลน์คุณต้องอยู่ข้างหน้าแนวโน้มของอุตสาหกรรม ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าที่ได้รับความนิยมและวิเคราะห์แบบแผนการซื้อ ถ้าคุณขายสินค้าฝีมือที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเด็ก เช่น คุณควรทำการวิจัยเกี่ยวกับความชอบของพ่อแม่เด็ก
2.วิเคราะห์คู่แข่งที่เหนือกว่า
หลังจากเลือกสินค้าที่ดีที่ 2 – 3รายการ ค้นหากลุ่มลูกค้าที่ขายได้มากและจัดอันดับผลตอบรับจากลูกค้า ให้ใส่ใจทั้งรีวิวที่เป็นบวกและลบ ลูกค้ากล่าวอะไรเกี่ยวกับบริการของผู้ขาย การส่งสินค้าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์?
คุณสามารถใช้การรีวิวของลูกค้าในการปรับเปลี่ยนร้านของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้รีวิวมากกว่า 50% คนร้องเรียนเกี่ยวกับบริการที่ไม่ดีของผู้ขาย คุณต้องให้ความสำคัญในสิ่งนี้สำหรับร้านของคุณ
3.สัมภาษณ์ลูกค้าถ้าเป็นไปได้
การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นการวิจัยรอง แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคุณต้องพูดคุยโดยตรงกับลูกค้า บางครั้งลูกค้าอาจจะไม่เปิดเผยความรู้สึกของพวกเขาต่อสินค้าหรือผู้ขายอย่างแน่นอน แต่เมื่อคุณพูดคุยกับพวกเขาโดยตรง คุณจะเข้าใจถึงความรู้สึกของพวกเขาอย่างแน่ชัด จุดอ่อนของพวกเขาและความปรารถนาของพวกเขา
การค้นหาลูกค้าที่สามารถพูดคุยกันได้อาจจะเป็นเรื่องยาก แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นคือจากเครือข่ายของคุณหรือเพื่อนคุณนั่นเอง
คุณสามารถถามว่าใครเคยซื้อผลิตภัณฑ์นี้เมื่อเร็ว ๆ นี้หรือไม่ โดยต้องแน่ใจว่าคำถามของคุณเป็นคำถามปลายเปิด เพราะหากเป็นคำถามที่มีการชี้นำ คำตอบที่ได้ก็ยากที่จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์
4.การค้นหาคีย์เวิร์ด
การค้นหาคีย์เวิร์ด เป็นกระบวนการที่เช็คดูว่าลูกค้าของเราค้นหา keyword อะไรเพื่อที่จะมาเจอสินค้าของเรา ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสองคนอาจค้นหาสินค้าเดียวกันโดยใช้คำสำคัญที่แตกต่างกัน คนหนึ่งอาจค้นหา “ตะกร้าเปลี่ยนผ้าเด็ก” ในขณะที่คนอีกคนอาจค้นหา “ตะกร้าผ้า”
เพื่อระบุคำสำคัญที่ดีที่สุดจากสองคำนี้ คุณสามารถใช้เครื่องมือ SEO เช่น Ahrefs, SEMrush, และ MOZ เพื่อเปรียบเทียบคำสำคัญสองคำนี้ ให้ใส่ใจกับ
- ปริมาณการค้นหา
- ความยากในการค้นหาคำสำคัญ
- ศักยภาพในการดึงดูดผู้ซื้อ
- ตัวชี้วัดอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังต้องระบุสถานที่ให้เป็นสถานที่ที่เป้าหมายของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณตั้งอยู่ในเวียดนาม แต่ลูกค้าเป้าหมายของคุณอยู่ในสหรัฐฯ สถานที่ต้องถูกตั้งค่าเป็นสหรัฐไม่ใช่เวียดนาม
5.ทดสอบผลลัพธ์ด้วยการตรวจสอบ A/B
การวิจัยตลาดไม่สมบูรณ์เมื่อไม่มีการทดสอบและยืนยันผลลัพธ์ วิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนี้คือการดำเนินการทดสอบที่เรียกว่าการทดสอบ A/B คุณสามารถระบุรายการสินค้าบางรายการที่คุณต้องการขาย เลือกคีย์เวิร์ด ที่ดีที่สุดและเขียนคำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด
เพื่อเรียกใช้ทดสอบ A/B อย่างเหมาะสม คุณสามารถสร้างสองเวอร์ชันของคำอธิบายผลิตภัณฑ์ของคุณโดยเปลี่ยนแปลงคำสำคัญเท่านั้น นั่นคือใช้คำเดียวกันตลอดเวลาแต่เปลี่ยนแปลงตัวแปรเดียว คือคีย์เวิร์ด นอกจากนี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวแปรที่เหลืออยู่เหมือนเดิมและปล่อยรายการสินค้าไว้นานพอเพียงเพื่อเห็นว่าเวอร์ชันของคำสำคัญใดทำได้ดีกว่า