Ad Sets คืออะไรและเทคนิคที่มักใช้งานมีอะไรบ้าง
Ad Sets คืออะไร
Ad Sets หรือชุดโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการโฆษณาในแพลตฟอร์มการโฆษณาออนไลน์ เช่น Facebook Ads, Google Ads, Instagram Ads และอื่น ๆ การสร้าง Ad Sets เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการและปรับแต่งแคมเปญโฆษณาของคุณ:
- กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience): Ad Sets ช่วยให้คุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายของคุณ คุณสามารถกำหนดเป้าหมายตามตัวแปรต่าง ๆ เช่น อายุ เพศ สถานที่ที่อยู่ ความสนใจ และพฤติกรรมการใช้งาน เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับโฆษณาของคุณ.
- งบประมาณ (Budget): คุณสามารถกำหนดงบประมาณโฆษณาที่คุณต้องการใช้สำหรับ Ad Sets แต่ละชุด เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละกลุ่มโฆษณา นี่รวมถึงการกำหนดวงเงินสำหรับรายวันหรือรายคลิก (CPC) หรือวงเงินสำหรับรายแสดง (CPM) ตามความเหมาะสม.
- ตำแหน่งแสดงโฆษณา (Ad Placement): Ad Sets ช่วยให้คุณเลือกตำแหน่งที่โฆษณาของคุณจะแสดงผล เช่น บน Facebook Feed, Instagram Stories, Google Search Results, หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง คุณสามารถปรับแต่งตำแหน่งนี้ใน Ad Sets ตามที่คุณต้องการ.
- รูปแบบและเนื้อหาโฆษณา (Ad Format and Content): Ad Sets ช่วยให้คุณกำหนดรูปแบบของโฆษณา เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรือโพสต์ข้อความ และปรับแต่งเนื้อหาโฆษณาเพื่อให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของคุณ.
- ตัวเลือกการโฆษณา (Ad Options): คุณสามารถกำหนดตัวเลือกโฆษณาเพิ่มเติม เช่น การตั้งเวลาการแสดงผล การระบุค่าที่มีความสำคัญ หรือการใช้ URL ที่ปรับแต่ง.
- การวัดผล (Performance Tracking): ใน Ad Sets คุณสามารถติดตามผลการโฆษณา อย่างเช่น จำนวนคลิก การแสดงผล อัตราการคลิก (CTR) และการแปลงข้อมูล เพื่อปรับแต่งและปรับปรุงกลุ่มโฆษณาของคุณตามผลการโฆษณา.
Ad Sets เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการและปรับแต่งการโฆษณาของคุณในแพลตฟอร์มการโฆษณาออนไลน์ เพื่อให้คุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม วางงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และวัดผลเพื่อปรับปรุงแคมเปญโฆษณาของคุณให้ได้ผลดีที่สุด.
Ad Sets ที่ดีเป็นอย่างไร
Ad Sets ที่ดีต้องมีการวางแผนและปรับแต่งอย่างเหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของคุณในแคมเปญโฆษณา นี่คือบางขั้นตอนและปัจจัยที่ช่วยให้ Ad Sets ดี:
- เป้าหมายชัดเจน: กำหนดเป้าหมายโครงการของคุณให้ชัดเจน รู้ว่าคุณต้องการให้ Ad Sets ทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น เพิ่มยอดขายสินค้าหรือเพิ่มการติดตามเว็บไซต์.
- กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม: ให้ความสำคัญกับการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม พิจารณาปัจจัยเช่น อายุ เพศ สิ่งที่คนสนใจ และพฤติกรรมการใช้งานเมื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมาย.
- การวางงบประมาณที่เหมาะสม: กำหนดงบประมาณโฆษณาให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความสามารถของคุณ คิดในระยะยาวและให้วงเงินสำหรับแต่ละ Ad Set ที่สามารถทำให้คุณให้ผลตอบแทนที่ดี.
- การเลือกสื่อและตำแหน่งแสดงโฆษณาที่เหมาะสม: เลือกสื่อและตำแหน่งแสดงโฆษณาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ไม่ใช้การแสดงผลอย่างหยาบๆ แต่ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย.
- รูปแบบและเนื้อหาโฆษณาที่น่าสนใจ: ออกแบบรูปแบบและเนื้อหาโฆษณาที่มีคุณภาพและน่าสนใจ ทำให้ผู้ชมมีความสนใจและมีการตอบกลับต่อโฆษณาของคุณ.
- การติดตามและวิเคราะห์ผล: ใช้เครื่องมือการติดตามและวิเคราะห์ผล เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการโฆษณาและทำการปรับปรุงตามผลลัพธ์ เพื่อให้ Ad Sets ทำงานได้ดีขึ้น.
- การทดสอบและปรับปรุง: ทดลองสร้าง Ad Sets หลายรุ่นและทดสอบการเปรียบเทียบผล ปรับปรุง Ad Sets ที่มีประสิทธิภาพและลด Ad Sets ที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี.
- การควบคุมการโฆษณาเป็นระยะเวลา: มีความอดทนและไม่ควรทำการเปลี่ยนแปลง Ad Sets บ่อยๆ ในระหว่างการรันแคมเปญ รอผลลัพธ์และปรับปรุงตามความจำเป็น.
Ad Sets ที่ดีคือผลมาจากการวางแผนอย่างดีและการทดลองอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณและบรรลุวัตถุประสงค์การโฆษณาของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ.
ความแตกต่างระหว่าง campain กับ ads
“Campaign” และ “Ads” เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับการโฆษณาออนไลน์และมีความแตกต่างกันดังนี้:
Campaign (แคมเปญ):
- แคมเปญเป็นกลุ่มโฆษณาที่สร้างขึ้นเพื่อบริหารจัดการและติดตามการโฆษณาในระยะเวลาที่กำหนด.
- แคมเปญมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยสามารถเป็นการโฆษณาสินค้าเฉพาะหรือโปรโมชั่นเฉพาะหรือเรื่องที่เกี่ยวข้อง.
Ads (โฆษณา):
- โฆษณาคือเนื้อหาที่สร้างขึ้นเพื่อการโฆษณา ซึ่งสามารถเป็นรูปภาพ วิดีโอ ข้อความ หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่ใช้ในแคมเปญ.
- Ads คือส่วนย่อยของแคมเปญ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลหรือเนื้อหาในแพลตฟอร์มโฆษณาต่าง ๆ เพื่อเติบโตและสร้างความรู้สึกต่อแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์.
ดังนั้น ความแตกต่างหลักคือ “แคมเปญ” เป็นโครงสร้างหรือการจัดการรวมของ “Ads” ที่ใช้ในการโฆษณา แคมเปญสร้างขึ้นเพื่อบริหารจัดการ Ads ที่เกี่ยวข้องในระยะเวลาที่กำหนด โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เฉพาะในแต่ละครั้ง เมื่อคุณรับเสนอโฆษณาในแพลตฟอร์มโฆษณา เหมือนกับคุณเปิดแคมเปญในแพลตฟอร์มนั้นและนำ Ads ที่คุณสร้างขึ้นในแคมเปญนั้นเข้าไปในแพลตฟอร์มเพื่อนำเสนอแก่ผู้เป้าหมายของคุณในรูปแบบต่าง ๆ ที่คุณเลือกใช้ในแคมเปญของคุณ.
เทคนิคที่มักใช้ในการทำ Ads
1.A/B Testing (การทดสอบ A/B):
A/B Testing (การทดสอบ A/B) เป็นเทคนิคการทดสอบที่ใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของหน้าเว็บหรือโฆษณาออนไลน์ โดยเปรียบเทียบสองรุ่นหรือเวอร์ชันของสิ่งที่คุณต้องการทดสอบ (เรียกว่า A และ B) เพื่อดูว่าเวอร์ชันใดที่ทำงานได้ดีกว่าหรือมีผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน
ขั้นตอนการทำ A/B Testing:
- กำหนดเป้าหมาย: ก่อนที่คุณจะเริ่ม A/B Testing คุณต้องกำหนดเป้าหมายที่คุณต้องการปรับปรุง เช่น เพิ่มอัตราการคลิก (CTR) หรืออัตราการแปลง (conversion rate) ของหน้าเว็บหรือโฆษณา.
- สร้างสิ่งที่จะทดสอบ: คุณสร้างสองรุ่นหรือเวอร์ชันของสิ่งที่คุณต้องการทดสอบ (A และ B) โดยแต่ละรุ่นควรมีการเปลี่ยนแปลงหนึ่งปัจจัยเท่านั้น เพื่อทำให้คุณรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงไหนที่ส่งผล.
- การแบ่งกลุ่ม: คุณแบ่งผู้ชมอย่างสุ่มออกเป็นกลุ่ม A และกลุ่ม B โดยแต่ละกลุ่มจะได้รับการแสดงสิ่งที่คุณทดสอบในรุ่นที่เหมือนกันในเวลาเดียวกัน.
- การทดสอบ: ระหว่างระยะเวลาที่กำหนด คุณทดสอบสิ่งที่คุณสร้างใน A และ B กลุ่ม โดยติดตามผลลัพธ์เช่น อัตราการคลิก, การแปลง, หรือการกระทำอื่น ๆ.
- วิเคราะห์ผล: เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลง คุณทำการวิเคราะห์ผลการทดสอบเพื่อดูว่าเวอร์ชันใดที่มีผลลัพธ์ที่ดีกว่าหรือเหมือนกันกับเวอร์ชันเดิม.
- การปรับปรุง: หากเวอร์ชันใหม่ (A หรือ B) มีผลลัพธ์ที่ดีกว่า เช่นมี CTR หรือ conversion rate สูงขึ้น คุณสามารถนำเวอร์ชันนี้ไปใช้ในการโฆษณาจริงและปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง.
ตัวอย่างการใช้งาน A/B Testing: เราสมมติว่าคุณคือเจ้าของเว็บไซต์ออนไลน์ที่ขายสินค้าและคุณต้องการเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ของปุ่ม “สั่งซื้อเดี๋ยวนี้” บนหน้าสินค้า.
- รุ่น A (เวอร์ชันปัจจุบัน): ปุ่ม “สั่งซื้อเดี๋ยวนี้” มีสีส้มและขนาดเล็ก.
- รุ่น B (เวอร์ชันที่ปรับปรุง): ปุ่ม “สั่งซื้อเดี๋ยวนี้” มีสีเขียวและขนาดใหญ่ขึ้น.
คุณทำ A/B Testing โดยแบ่งผู้ชมสุ่มเป็นกลุ่ม A และกลุ่ม B และแสดงแต่ละรุ่นเวอร์ชันปุ่มในเวลาเดียวกัน. หลังจากการทดสอบ เครื่องมือ A/B Testing ระบุว่ารุ่น B (เวอร์ชันที่ปรับปรุง) มี CTR ที่สูงกว่าของรุ่น A (เวอร์ชันปัจจุบัน) ดังนั้นคุณตัดสินใจใช้รุ่น B เป็นเวอร์ชันหลักบนเว็บไซต์ของคุณเพื่อเพิ่มการคลิกและการแปลงสำหรับสินค้าของคุณ.
2.Keyword Targeting (การเป้าหมายโดยใช้คำค้นหา):
Keyword Targeting (การเป้าหมายโดยใช้คำค้นหา) เป็นกลยุทธ์ในการทำโฆษณาออนไลน์ที่เน้นการเลือกคำค้นหาหรือคำหลัก (keywords) เพื่อให้โฆษณาของคุณปรากฏขึ้นเมื่อผู้ค้นหาใช้คำเหล่านั้นในเครื่องมือค้นหา เช่น Google Search หรือ Bing Search. คำค้นหาที่คุณเลือกจะมีความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณและจะเป้าหมายให้กับกลุ่มเป้าหมายที่อาจสนใจสิ่งที่คุณมีให้.
Keyword Targeting ช่วยให้คุณสามารถโฆษณาให้ถูกต้องและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณผ่านการค้นหาออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้นในแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์เช่น Google Ads หรือ Bing Ads.
3.Geo-Targeting (การเป้าหมายทางภูมิศาสตร์):
Geo-Targeting (การเป้าหมายทางภูมิศาสตร์) คือกลยุทธ์การตลาดที่ใช้เลือกและการโฆษณาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้แสดงแก่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่คุณต้องการ แนวคิดหลักคือการเลือกพื้นที่ที่คุณต้องการเป้าหมายให้กับโฆษณาของคุณเพื่อให้แสดงขึ้นในพื้นที่นั้นเท่านั้น :
การเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ในโฆษณาใกล้ธุรกิจ:
หากคุณคือร้านอาหารและต้องการโฆษณาโปรโมชั่นพิเศษในสถานที่ใกล้บ้าน คุณสามารถใช้ Geo-Targeting เพื่อแสดงโฆษณาของคุณให้กับผู้ใช้ที่อยู่ในระยะทางที่ใกล้ร้านของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสให้พวกเขามาเยี่ยมร้านของคุณ.
การเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ในแคมเปญโฆษณาออนไลน์:
ถ้าคุณเป็นบริษัทที่ขายบริการที่เหมาะสำหรับภูมิภาคที่เฉพาะเจาะจง เช่น การท่องเที่ยวหรือบริการซ่อมบำรุงต่างๆคุณสามารถใช้ Geo-Targeting เพื่อเน้นโฆษณาของคุณให้แสดงในพื้นที่ที่คุณมีโอกาสได้รับความสนใจมากที่สุด.
4.Native Advertising (การโฆษณาแบบ Native):
Native Advertising (การโฆษณาแบบ Native) เป็นกลยุทธ์การโฆษณาที่ออกแบบมาเพื่อให้โฆษณาเข้ากับเนื้อหาหรือรูปแบบของแพลตฟอร์มที่มันปรากฏอยู่ โดยรูปแบบนี้จะดูเหมือนเนื้อหาปกติในแพลตฟอร์มนั้น ไม่เหมือนโฆษณาแบบแผ่นๆ นอกเหนือจากข้อความที่ระบุว่าเป็นโฆษณา โฆษณาแบบ Native มักมีรูปแบบและสไตล์ที่เข้ากับเนื้อหาโดยไม่เป็นร้ายและเป็นมิตรกับผู้อ่านหรือผู้ชม นี่คือตัวอย่างการใช้งาน Native Advertising:
1.โฆษณาบทความในบล็อก:
บล็อกเป็นแพลตฟอร์มที่มักมีการเผยแพร่เนื้อหาในรูปแบบบทความ บริษัทที่ต้องการโฆษณาสินค้าหรือบริการของพวกเขาอาจจะเลือกเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการนั้นและเผยแพร่บนบล็อกโดยการใช้ Native Advertising ผู้อ่านจะเห็นบทความและโฆษณาเป็นส่วนหนึ่ง โดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นโฆษณา ตัวอย่างเช่นบทความเกี่ยวกับการออกกำลังกายอาจจะมีการโฆษณาสินค้าอุปกรณ์กีฬาในบริเวณเดียวกัน.
2.โฆษณาบนสื่อสังคมออนไลน์:
ในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, หรือ Twitter, คุณสามารถใช้โฆษณาแบบ Native เพื่อแสดงโฆษณาให้กับผู้ใช้ที่อยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ โดยโฆษณานี้จะดูเหมือนโพสต์ปกติในไทม์ไลน์ของผู้ใช้ แต่จะมีข้อมูลการโฆษณาและลิงก์ไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณ.
3.โฆษณาบนเว็บไซต์ข่าว:
บางครั้งคุณอาจพบกับโฆษณาในรูปแบบบทความบนเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ โฆษณานี้อาจเป็นบทความเนื้อหาโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในข่าวหรือการเผยแพร่ข้อมูลบางอย่าง ผู้อ่านอาจคลิกเพื่ออ่านบทความและต่อจากนั้นรู้สึกที่จะเข้าชมเว็บไซต์หรือสินค้าของโฆษณานั้น.
4.โฆษณาบนแพลตฟอร์มวิดีโอ:
บนแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ เช่น YouTube, คุณสามารถแสดงโฆษณาแบบ Native ในรูปแบบวิดีโอโดยการผสมโฆษณากับเนื้อหาวิดีโอที่ผู้ชมสนใจ โฆษณานี้อาจปรากฏก่อนวิดีโอหรือระหว่างวิดีโอที่ผู้ชมกำลังรับชม.
โฆษณาแบบ Native ช่วยให้โฆษณาดูเป็นธรรมชาติและไม่รบกวนประสบการณ์ของผู้ใช้ ทำให้มีโอกาสในการเชื่อมโยงและแปลงผู้ชมให้เป็น
แพลตฟอร์มออนไลน์ Ads ยอดนิยม
แพลตฟอร์มออนไลน์ที่น่าทำโฆษณาเพื่อเติบโตและสร้างความรู้สึกต่อแบรนด์ของคุณ นี่คือบางแพลตฟอร์มที่น่าทำโฆษณาในไทย:
- Facebook: Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในไทย คุณสามารถใช้ Facebook Ads เพื่อโฆษณาสินค้าและบริการในประเทศไทยได้โดยเฉพาะ.
- Instagram: Instagram เป็นส่วนหนึ่งของ Facebook และเหมาะสำหรับโฆษณารูปภาพและวิดีโอ น่าสนใจสำหรับโฆษณาสินค้าแฟชั่น อาหาร และการท่องเที่ยวในไทย.
- Google Ads: Google คือเครื่องมือค้นหาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในไทย คุณสามารถโฆษณาบน Google Search และ Google Display Network เพื่อเรียกให้ผู้คนค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณ.
- YouTube: น่าสนใจสำหรับโฆษณาวิดีโอ คุณสามารถโฆษณาบน YouTube เพื่อเรียกให้ผู้ชมชมวิดีโอของคุณหรือสร้างความรู้สึกต่อแบรนด์.
- Line Ads: Line เป็นแพลตฟอร์มสื่อสารที่นิยมในไทย คุณสามารถโฆษณาผ่าน Line Ads เพื่อเรียกให้ผู้ใช้ Line เห็นโฆษณาของคุณ.