เมนู

องค์ประกอบแผนธุรกิจ

10 องค์ประกอบแผนธุรกิจ วิธีใช้และตัวอย่าง

10 องค์ประกอบแผนธุรกิจ

แผนธุรกิจ (Business Plan) คือเอกสารที่ใช้ในการวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจขององค์กรหรือธุรกิจเพื่อบอกถึงวัตถุประสงค์และแนวทางในการพัฒนาและดำเนินธุรกิจในอนาคต แผนธุรกิจมักจะรวมถึงข้อมูลและข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับธุรกิจ รวมถึงวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์การตลาด การเงิน แผนการจัดการ และการบริหารความเสี่ยง เพื่อช่วยในการบริหารและพัฒนาธุรกิจให้มีความประสบความสำเร็จ.

แผนธุรกิจเป็นเอกสารที่มีความสำคัญสำหรับการกำหนดแนวทางและวัตถุประสงค์ของธุรกิจของคุณ ดังนั้น ควรระบุองค์ประกอบของแผนธุรกิจอย่างชัดเจนเพื่อให้มีความเป็นระเบียบและมีความเสถียรในการดำเนินธุรกิจของคุณ นี่คือ 10 องค์ประกอบสำคัญของแผนธุรกิจและวิธีเขียนแผนธุรกิจ:

ภาพองค์ประกอบแผนธุรกิจ

ศูนย์การค้า JJ mall ตั้งอยู่ด้านหน้าถนนกำแพงเพชร 2 ด้านซ้ายติดถนนกำแพงเพชร 4 ติดตลาดนัดจตุจักร การเดินทางมานับว่าสะดวกสามารถมาได้ทั้งรถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีหมอชิตและรถใต้ดิน MRT ลงที่สถานีกำแพงเพชร หรือจะโดยสารรถประจำทางก็มีหลายสาย รวมถึงนำรถมาเองสามารถจอดได้ที่ศูนย์การค้าก็ได้ 

ที่ศูนย์การค้า JJ mall เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่ติดกับจตุจักรเพราะศูนย์การค้าเจเจมอลล์ เป็นแหล่งขายส่งสินค้าที่มีชื่อเสียง รวบรวมสินค้าแบบครบวงจรมีคุณภาพและราคาถูก  มีทั้งสินค้านำเข้า สินค้าพื้นเมือง สินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ jj mall ได้แบ่งโซนสินค้าไปต่างๆดังนี้ 

  • ชั้น  G หรือชั้นใต้ดิน เป็นสินค้าแฟชั่นเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าเครื่องประดับสินค้า handmade เครื่องหอม 
  • ชั้น 1 เครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี เด็ก กระเป๋า รองเท้า ร้านจิวเวอร์รี่ ร้านทอง ร้านอาหารแบรนด์อินเตอร์
  • ชั้น 2 สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าแอนติค งานศิลป์ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือ ร้านเสริมสวยสปาและคลินิกเสริมความงาม ร้านยาร้านอาหาร

ท่านใดที่สนใจในสินค้าที่มีราคายุติธรรมไม่แพงเกินไป เดินทางสะดวก ไม่ร้อน ขอเชิญที่ JJ mall ได้

Facebook : JJMall – เจ.เจ.มอลล์

1.สรุปแผนธุรกิจ (Executive Summary)

สรุปแผนธุรกิจ (Executive Summary) เป็นส่วนสำคัญของเอกสารแผนธุรกิจ ซึ่งมักจะอยู่บนหน้าแรกของเอกสารและมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน เนื้อหาในสรุปแผนธุรกิจรวมถึงข้อมูลสำคัญและสรุปสาระสำคัญในแผนธุรกิจ โดยยึดหลักการของแผนธุรกิจโดยรวม

คุณสมบัติของสรุปแผนธุรกิจ:
  • สรุปความสำคัญ: สรุปแผนธุรกิจต้องสรุปความสำคัญของแผนธุรกิจในรูปแบบที่ชัดเจนและย่อหน้า
  • ประเด็นสำคัญ: ระบุประเด็นหลักหรือข้อความสำคัญที่ต้องการเน้นในแผนธุรกิจ
  • ความสามารถในการดูแลกัน: สรุปแผนธุรกิจควรสร้างความสามารถในการดูแลกันและชี้ชัดถึงประโยชน์ของธุรกิจ
  • ระยะเวลาและขอบเขต: ระบุระยะเวลาและขอบเขตของแผนธุรกิจ
  • ข้อมูลการเงิน: รวมถึงข้อมูลการเงินสำคัญ เช่น รายได้รายจ่าย กำไรและขาดทุน

2.ข้อมูลเบื้องต้น (Business Description)

ข้อมูลเบื้องต้น (Business Description) เป็นหนึ่งในการทำแผนธุรกิจที่ใช้ในการอธิบายธุรกิจหรือองค์กรของคุณอย่างละเอียด เนื้อหาในส่วนนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจธุรกิจของคุณมากขึ้น โดยรวมถึงข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ เรียกว่าคุณสมบัติ ข้อมูลเบื้องต้นจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าธุรกิจของคุณคืออะไรและว่ามีลักษณะเฉพาะอย่างไร

คุณสมบัติสำคัญของข้อมูลเบื้องต้น (Business Description) ประกอบด้วย:
  1. ชื่อธุรกิจ: ระบุชื่อทางธุรกิจของคุณโดยชัดเจน เพื่อให้ผู้อ่านรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
  2. ประเภทของธุรกิจ: ระบุประเภทหรือกลุ่มธุรกิจที่คุณกำลังดำเนิน เช่น ธุรกิจบริการ ธุรกิจการผลิต หรือธุรกิจค้าปลีก
  3. สถานที่ตั้ง: ระบุสถานที่ตั้งหลักของธุรกิจ รวมถึงที่อยู่และพื้นที่ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
  4. วัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์: ระบุวัตถุประสงค์หลักของธุรกิจและวิสัยทัศน์ที่มีต่ออนาคตของธุรกิจ
  5. ประวัติ: รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของธุรกิจ รวมถึงเมื่อไหร่และโดยใครถูกก่อตั้ง
  6. กลยุทธ์: โดยย่ออธิบายกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงวิธีการเข้าถึงตลาดและการสร้างรายได้
  7. สินค้าหรือบริการ: อธิบายสินค้าหรือบริการที่คุณ提供 รวมถึงคุณสมบัติเฉพาะ และความเป็นเลิศ
  8. ผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมาย: ระบุกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ ความต้องการของลูกค้า และการรวมถึงข้อมูลตลาด
  9. คุณสมบัติพิเศษ: ระบุคุณสมบัติหรือจุดเด่นที่ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นจากคู่แข่ง

ข้อมูลเบื้องต้น (Business Description) เป็นส่วนสำคัญในการเข้าใจความเป็นธุรกิจของคุณ และช่วยให้ผู้อ่านรู้ว่าธุรกิจของคุณมีความเป็นเลิศในทางใดและเป้าหมายเป็นอย่างไรในอนาคต.

3.การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis)

การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis) เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารการทำแผนธุรกิจที่ใช้ในการศึกษาและเข้าใจตลาดที่ธุรกิจของคุณจะดำเนินการในนั้น การวิเคราะห์ตลาดช่วยให้คุณทราบข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง โอกาส และความเสี่ยงในตลาด เพื่อช่วยในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการเติบโตของธุรกิจของคุณ

คุณสมบัติของการวิเคราะห์ตลาด:
  • ข้อมูลลูกค้า: ระบุกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้า
  • การวิเคราะห์คู่แข่ง: สำรวจคู่แข่งในตลาด เรียนรู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งและความอ่อนของพวกเขา
  • โอกาสในตลาด: ระบุโอกาสทางธุรกิจที่มีในตลาด เช่น การเติบโตของตลาดหรือความต้องการที่กำลังเพิ่มขึ้น
  • การวิเคราะห์ความเสี่ยง: ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในตลาด เช่น การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือเทคโนโลยี
  • ข้อมูลตลาด: ใช้ข้อมูลทางสถิติและการวิจัยตลาดเพื่อรองรับข้อมูลที่คุณระบุ
ขั้นตอนการทำการวิเคราะห์ตลาด:
  1. ระบุกลุ่มเป้าหมาย: ระบุลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึง เช่น อายุ เพศ รายได้ เป็นต้น
  2. สำรวจคู่แข่ง: สำรวจคู่แข่งในตลาด เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการทำธุรกิจของพวกเขาและความแข็งแกร่งของพวกเขา
  3. การวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า: สำรวจความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าในตลาด เพื่อเข้าใจความต้องการและวิธีการปรับปรุงสินค้าหรือบริการ
  4. ประเมินขนาดของตลาด: ประเมินขนาดของตลาดโดยใช้ข้อมูลทางสถิติและการวิจัยตลาด
  5. การวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง: ระบุโอกาสที่มีในตลาดและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และแสดงวิธีการจัดการความเสี่ยง

การวิเคราะห์ตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำแผนธุรกิจ เนื่องจากมันช่วยให้คุณเข้าใจเป้าหมายของตลาดและการแข่งขัน และช่วยในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ.

4.กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy)

กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) เป็นส่วนสำคัญของการทำแผนธุรกิจที่ใช้ในการกำหนดแผนการตลาดและการโฆษณาเพื่อให้สินค้าหรือบริการของคุณมีความรู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในตลาด กลยุทธ์การตลาดมุ่งเน้นทางการตลาดและการโฆษณาเพื่อสร้างความสนใจและเพิ่มยอดขาย 

คุณสมบัติของกลยุทธ์การตลาด:
  • ความชัดเจนและเป้าหมาย: กลยุทธ์การตลาดควรมีเป้าหมายชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ
  • การจัดการบรรยากาศ: กลยุทธ์การตลาดควรสร้างบรรยากาศและแบรนด์ที่เข้ากันได้กับสินค้าหรือบริการของคุณ
  • การเรียนรู้ตลาด: การวิเคราะห์ตลาดและการศึกษาความต้องการของลูกค้าเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาด
  • เลือกช่องทางการตลาด: ระบุช่องทางการตลาดที่เหมาะสมสำหรับสินค้าหรือบริการของคุณ เช่น การโฆษณาออนไลน์หรือทางโซเชียลมีเดีย
  • บริหารสื่อ: กลยุทธ์การตลาดควรรวมการบริหารสื่อเพื่อสร้างความรู้สึกและความสนใจจากลูกค้า
ขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์การตลาด:
  1. การวิเคราะห์ตลาด: ทำการวิเคราะห์ตลาดเพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้า คู่แข่ง และโอกาสในตลาด
  2. กำหนดเป้าหมายการตลาด: กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้กับกลยุทธ์การตลาด เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างความรู้สึกต่อแบรนด์ หรือเพิ่มลูกค้าใหม่
  3. กำหนดกลยุทธ์: กำหนดกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับเป้าหมาย โดยรวมถึงเลือกช่องทางการตลาดและเสนอแนวคิดทางการตลาด
  4. บริหารสื่อและโฆษณา: สร้างแผนโฆษณาและสื่อตลาดที่เหมาะสมเพื่อสร้างความรู้สึกและความสนใจจากลูกค้า
  5. การวัดและประเมิน: วัดผลและประเมินความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาด และปรับปรุงตามความต้องการ

กลยุทธ์การตลาดเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความรู้สึกและความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณในตลาด มันช่วยให้คุณมีแผนที่ชัดเจนในการเพิ่มยอดขายและสร้างความสำเร็จในธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

5.การบริหารและการดำเนินธุรกิจ (Management and Operations)

การบริหารและการดำเนินธุรกิจ (Management and Operations) การจัดการและดำเนินธุรกิจของคุณในรายวัน การบริหารและการดำเนินธุรกิจให้เป็นประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจของคุณ 

คุณสมบัติของการบริหารและการดำเนินธุรกิจ:
  • ความเชี่ยวชาญในกลุ่มงาน: คุณและทีมบริหารควรมีความรู้และความเชี่ยวชาญในกลุ่มงานหรืออุตสาหกรรมที่ธุรกิจของคุณดำเนินการ
  • ทักษะในการบริหาร: คุณควรมีทักษะในการบริหารและความสามารถในการบริหารทีมงานให้ดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การวางแผนและความชำนาญในการเงิน: ความสามารถในการวางแผนและการจัดการทรัพยากรการเงินเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรและเติบโต
  • การสร้างสรรค์และนวัตกรรม: ความสามารถในการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมให้ธุรกิจของคุณ
  • การจัดการความเสี่ยง: ความสามารถในการระบุและจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
ขั้นตอนการบริหารและการดำเนินธุรกิจ:
  1. วางแผนการดำเนินธุรกิจ: สร้างแผนธุรกิจที่ระบุวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และแนวทางการดำเนินธุรกิจ
  2. จัดการทรัพยากร: จัดการทรัพยากรที่สำคัญเช่น คน งบประมาณ และเวลาเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างเป็นประสบการณ์
  3. การตรวจสอบและปรับปรุง: ตรวจสอบผลการดำเนินธุรกิจเป็นระยะๆ และปรับปรุงแผนหรือกลยุทธ์ตามความเปลี่ยนแปลง
  4. การจัดการทีมงาน: สร้างทีมงานที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญในการสนับสนุนธุรกิจ
  5. การควบคุมคุณภาพ: ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าหรือการบริการต่อลูกค้า

การบริหารและการดำเนินธุรกิจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเครื่องมือสำคัญในการให้ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคต มันช่วยให้ธุรกิจของคุณมีการบริหารจัดการที่ดี และดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพในทุกๆ ด้านของการดำเนินธุรกิจ.

ภาพองค์ประกอบแผนธุรกิจ

6.แผนการเงิน (Financial Projections)

แผนการเงิน (Financial Projections) เป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจที่ใช้ในการคาดการณ์และสร้างรายละเอียดเกี่ยวกับผลการเงินของธุรกิจในอนาคต แผนการเงินช่วยให้คุณมีภาพรวมเกี่ยวกับรายได้ รายจ่าย กำไรสุทธิ และกระแสเงินสดของธุรกิจของคุณ 

คุณสมบัติของแผนการเงิน:
  • ความชัดเจนและเป็นระเบียบ: แผนการเงินควรมีข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นระเบียบเกี่ยวกับรายได้และรายจ่าย
  • ความเชื่อถือได้: ข้อมูลในแผนการเงินควรเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ
  • การคาดการณ์ความเป็นไปได้: การคาดการณ์ผลการเงินควรมีรายละเอียดและข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ
  • การวิเคราะห์ความต้องการของทุน: แผนการเงินควรระบุว่าคุณต้องการทุนเพิ่มเติมหรือไม่และถ้าต้องการคุณจะนำทุนมาจากแหล่งใด
ขั้นตอนในการสร้างแผนการเงิน:
  1. รายได้: ระบุรายได้ที่คาดการณ์จากการขายสินค้าหรือบริการ โดยใช้ข้อมูลตลาดและการตลาดเป้าหมาย
  2. รายจ่าย: ระบุรายจ่ายทั้งรายจ่ายในการดำเนินธุรกิจและรายจ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่า และค่าโฆษณา
  3. กำไรสุทธิ: คำนวณกำไรสุทธิโดยหักรายจ่ายจากรายได้
  4. กระแสเงินสด: สร้างแผนการเงินที่แสดงกระแสเงินสดของธุรกิจ รวมถึงการบริหารเงินในระยะยาว
  5. รายงานการเงิน: สร้างรายงานการเงินที่สรุปผลการเงินของธุรกิจในรูปแบบที่เข้าใจง่าย และแสดงผลการเงินในระยะยาว
  6. การประเมินและประเมิน: ปรับปรุงข้อมูลและการคาดการณ์ตามความเป็นจริง เพื่อให้แผนการเงินมีความแม่นยำมากขึ้น

แผนการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนธุรกิจและการตัดสินใจทางการเงิน เนื่องจากมันช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสในธุรกิจของคุณ และช่วยในการบริหารการเงินให้มีประสิทธิภาพในอนาคต.

7.กำหนดเป้าหมาย (Goals and Objectives)

กำหนดเป้าหมาย (Goals and Objectives) เป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนธุรกิจ ซึ่งเป้าหมายและวัตถุประสงค์เหล่านี้ช่วยกำหนดทิศทางและแนวทางในการพัฒนาธุรกิจของคุณ

คุณสมบัติของกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์:
  • ชัดเจนและบอกเป้า: เป้าหมายและวัตถุประสงค์ควรเป็นชัดเจนและเจาะจง เพื่อให้ทุกคนในธุรกิจเข้าใจและมีทิศทางการทำงาน
  • วัตถุประสงค์เป็นไปได้และวัดได้: วัตถุประสงค์ควรสามารถวัดได้ และเป็นไปตามความเป็นไปได้
  • เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์และพันธกิจ: กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของธุรกิจ
  • สม่ำเสมอและยั่งยืน: เป้าหมายและวัตถุประสงค์ควรเป็นที่สม่ำเสมอและยั่งยืนในระยะยาว
ขั้นตอนในการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์:
  1. ระบุเป้าหมายหลักและรอง: ระบุเป้าหมายหลักที่คุณต้องการบรรลุในระยะยาวและเป้าหมายรองที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายหลัก
  2. ระบุวัตถุประสงค์ที่เป็นเวลา: ระบุวัตถุประสงค์ที่สามารถวัดได้และเป็นเวลา เช่น “เพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ A 10% ในระยะ 12 เดือน”
  3. ทำหลักการ SMART: ระบุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ตามหลักการ SMART คือ มีความเป็นเป้าหมายที่เป็น Specific (ชัดเจน), Measurable (วัดได้), Achievable (เป็นไปได้), Relevant (สัมพันธ์กับธุรกิจ), และ Time-bound (มีเวลา)
  4. สร้างแผนการดำเนินการ: ระบุแผนการดำเนินการที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เช่น การปรับแต่งการตลาด การเพิ่มความสามารถในการผลิต หรือการพัฒนาทักษะของบุคลากร
  5. ตรวจสอบและปรับปรุง: ตรวจสอบและปรับปรุงเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับเปลี่ยนแปลงในสภาวะภายนอกและภายในธุรกิจของคุณ

การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการแผนธุรกิจและช่วยให้ธุรกิจมีทิศทางและแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาและเติบโตในอนาคต.

8.แผนกำหนดเวลา (Timelines)

แผนกำหนดเวลา (Timelines) แผนธุรกิจที่ใช้ในการระบุเวลาและกำหนดระยะเวลาที่จำเป็นในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายในธุรกิจของคุณ แผนกำหนดเวลาช่วยให้คุณสามารถติดตามความคืบหน้า และดำเนินการตามเวลาตามที่กำหนดไว้ 

คุณสมบัติของแผนกำหนดเวลา:
  • ชัดเจนและเป็นรายละเอียด: แผนกำหนดเวลาควรระบุกิจกรรมและงานที่ต้องทำในลำดับที่ชัดเจนและรายละเอียด
  • ระยะเวลาที่สมเหตุสมผล: ระบุระยะเวลาที่สมเหตุสมผลในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรม โดยใช้ข้อมูลและประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน
  • การจัดทำแผนอิงตามลำดับเวลา: สร้างแผนอิงตามลำดับเวลาเพื่อแสดงการเรียงลำดับของกิจกรรมและงานในรูปแบบของการกระทำที่สามารถติดตามได้
  • การให้ความสำคัญแก่กิจกรรมสำคัญ: ให้ความสำคัญและกำหนดเวลาสำหรับกิจกรรมหรืองานที่มีความสำคัญในการบรรลุเป้าหมายหลัก
ขั้นตอนในการสร้างแผนกำหนดเวลา:
  1. ระบุกิจกรรมและงาน: ระบุกิจกรรมและงานที่จำเป็นในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  2. กำหนดระยะเวลา: กำหนดระยะเวลาที่จำเป็นในการดำเนินการแต่ละกิจกรรม โดยใช้หน่วยเวลาที่เหมาะสม เช่น วันทำงาน สัปดาห์หรือเดือน
  3. ระบุลำดับและความสำคัญ: ระบุลำดับของกิจกรรมและงาน และกำหนดความสำคัญของแต่ละกิจกรรม
  4. สร้างแผนอิงตามลำดับเวลา: สร้างแผนอิงตามลำดับเวลาโดยแสดงรายละเอียดของแต่ละกิจกรรมและงาน
  5. ตรวจสอบและปรับปรุง: ตรวจสอบแผนกำหนดเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนดและปรับปรุงตามความเปลี่ยนแปลงในสภาวะการดำเนินงาน

แผนกำหนดเวลาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวางแผนและการจัดการโครงการหรือกิจกรรม มันช่วยให้คุณมีการควบคุมเวลาและทราบความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายของคุณ.

9.การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)

การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เป็นกระบวนการที่ใช้ในการระบุ ประเมิน และจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจหรือแผนธุรกิจ การจัดการความเสี่ยงมีเป้าหมายในการลดความเสี่ยงให้มีความเสี่ยงต่ำที่สุดหรือความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 

คุณสมบัติของการจัดการความเสี่ยง:
  • การระบุความเสี่ยง: ระบุและบอกความเสี่ยงที่เป็นไปได้ในธุรกิจหรือโครงการ โดยรวมถึงการระบุปัจจัยที่อาจส่งผลในการเกิดความเสี่ยง
  • การประเมินความเสี่ยง: ประเมินระดับความเสี่ยงและการจำแนกความรุนแรงของความเสี่ยง ซึ่งช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจว่าควรจัดการความเสี่ยงนั้นอย่างไร
  • การวางแผนจัดการความเสี่ยง: สร้างแผนที่ระบุกิจกรรมและมาตรการที่จะใช้ในการลดความเสี่ยง รวมถึงการกำหนดผู้รับผิดชอบในการจัดการความเสี่ยง
  • การดำเนินการจัดการความเสี่ยง: ดำเนินการตามแผนที่กำหนดเพื่อลดความเสี่ยง โดยการดำเนินการนี้อาจเป็นการลดความเสี่ยง โอกาส หรือการรับผิดชอบความเสี่ยง
  • การติดตามและประเมินผล: ติดตามและประเมินผลการดำเนินการจัดการความเสี่ยงเพื่อทราบว่ามีการลดความเสี่ยงอย่างเหมาะสมหรือไม่ และปรับปรุงแผนจัดการความเสี่ยงตามความจำเป็น
ขั้นตอนในการจัดการความเสี่ยง:
  1. ระบุความเสี่ยง: ระบุและจำแนกความเสี่ยงที่เป็นไปได้ โดยใช้ข้อมูลภายในและภายนอก
  2. ประเมินความเสี่ยง: ประเมินระดับความเสี่ยงโดยใช้วิธีการทางคุณภาพหรือความน่าจะเป็น และจำแนกความรุนแรงของความเสี่ยง
  3. วางแผนจัดการความเสี่ยง: สร้างแผนที่ระบุกิจกรรมและมาตรการที่จะใช้ในการลดความเสี่ยง และกำหนดผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรม
  4. ดำเนินการจัดการความเสี่ยง: ดำเนินการตามแผนจัดการความเสี่ยง รวมถึงการลดความเสี่ยง โอกาส หรือการรับผิดชอบความเสี่ยงตามที่กำหนด
  5. ติดตามและประเมินผล: ติดตามและประเมินผลการดำเนินการจัดการความเสี่ยง เพื่อทราบว่ามีการลดความเสี่ยงอย่างเหมาะสมหรือไม่ และปรับปรุงแผนจัดการความเสี่ยงตามความจำเป็น

การจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายและสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจหรือโครงการ

10.ภาคผนวก (Appendix)

ภาคผนวก (Appendix) คือส่วนที่มักเป็นเอกสารเสริมที่แนบมากับแผนธุรกิจของคุณเพื่อรองรับและสนับสนุนข้อมูลหรือข้อมูลเพิ่มเติมที่มีความเกี่ยวข้องกับแผนธุรกิจ ภาคผนวกมักจะรวบรวมเอกสารและข้อมูลที่อาจเป็นมาตรฐานหรือรายละเอียดที่ไม่จำเป็นต้องแสดงในส่วนหลักของแผนธุรกิจ

คุณสมบัติสำคัญของภาคผนวกประกอบด้วย:
  • ข้อมูลเพิ่มเติม: ภาคผนวกมีข้อมูลที่เพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจหรือข้อมูลที่อาจช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาหรือแนวคิดในแผนธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เช่น ภาพรวมของตลาด, รายชื่อผู้บริหาร, แผนภาพองค์กร, หรือผลสำรวจลูกค้า.
  • เอกสารสนับสนุน: ในภาคผนวกคุณสามารถแนบเอกสารที่สนับสนุนข้อมูลในแผนธุรกิจ เช่น รายงานการวิจัย, งบประมาณ, สัญญาหรือข้อตกลงทางธุรกิจ, แผนที่, หรือข้อมูลทางทรัพยากรมนุษย์.
  • คำชี้แจงเพิ่มเติม: ในกรณีที่คุณต้องการอธิบายหรือพูดถึงข้อมูลที่อยู่ในภาคผนวก คุณสามารถเพิ่มคำชี้แจงเพิ่มเติมในแผนธุรกิจหลักเพื่อชี้ช่องทางให้ผู้อ่านหาข้อมูลเพิ่มเติมในภาคผนวก.

ภาคผนวกเป็นส่วนที่มีความสำคัญในการเสริมความเข้าใจและความน่าเชื่อถือในแผนธุรกิจของคุณ แนะนำให้ใช้ภาคผนวกเพื่อเสริมข้อมูลและเนื้อหาในแผนธุรกิจของคุณให้ครอบคลุมและเป็นระเบียบ.

ตัวอย่างการเขียนแผนธุรกิจแบบสั้นๆ

1.สรุปแผนธุรกิจ: เป็นสรุปรายละเอียดสำคัญของแผนธุรกิจที่รวมถึงวัตถุประสงค์ของธุรกิจ, ผลิตภัณฑ์หรือบริการ, กลยุทธ์การตลาด, และข้อมูลเงินเบื้องต้น เช่น
ตัวอย่าง: “Executive Summary: ธุรกิจของเราเป็นบริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าสำหรับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการสไตล์ที่ทันสมัยและคุณภาพสูง กลยุทธ์การตลาดของเรารวมถึงการใช้สื่อโฆษณาแบบออนไลน์เพื่อเป้าหมายลูกค้าในช่วงอายุ 18-30 ปี และเรามีแผนการเพิ่มยอดขายของเสื้อผ้าเป็น 10% ในช่วงปีแรก.”

2.คำนิยามธุรกิจ : อธิบายธุรกิจของคุณโดยรวม วัตถุประสงค์ ปรัชญาและพันธกิจของบริษัท เช่น
ตัวอย่าง: “คำนิยามธุรกิจ: บริษัท XYZ เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการสร้างเสื้อผ้าแฟชั่นสุดทันสมัยและคุณภาพสูงสำหรับผู้บริโภครุ่นใหม่ ๆ ที่ค้นหาสไตล์และคุณภาพ.”

3.การวิเคราะห์ตลาด : บทนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดของคุณ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่ง, กลุ่มเป้าหมาย, แนวโน้มตลาด, และการวิเคราะห์ SWOT (Strengths, Weaknesses, Opportunities, Threats) เช่น
ตัวอย่าง: “การวิเคราะห์ตลาด: ตลาดของเราเป็นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ๆ อายุ 18-30 ปี ซึ่งมีความต้องการสินค้าแฟชั่นคุณภาพสูง โดยใช้สื่อโฆษณาออนไลน์เป็นหลัก เรามีความเชื่อมั่นในความเป็นไปได้ในการก้าวสู่ตลาดนี้เนื่องจากความเป็นไปได้ในการสร้างยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์.”

4.กลยุทธ์การตลาด : อธิบายวิธีการตลาดของคุณเพื่อดึงดูดลูกค้า รวมถึงการโฆษณา, การตลาดออนไลน์, และกิจกรรมโปรโมชั่น เช่น
ตัวอย่าง: “กลยุทธ์การตลาด: เราจะใช้โฆษณาบนสื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรมและเว็บไซต์ส่วนตัวเพื่อสร้างความรู้สึกและความติดตามจากกลุ่มเป้าหมาย เรายังจะเปิดโปรโมชั่นพิเศษในช่วงเปิดตัวสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่.”

5.การบริหารและดำเนินธุรกิจ : อธิบายโครงสร้างบริหารบริษัทและข้อมูลเกี่ยวกับทีมผู้บริหาร รวมถึงกระบวนการดำเนินธุรกิจ เช่น
ตัวอย่าง: “การบริหารและดำเนินธุรกิจ: ทีมผู้บริหารของเราประกอบด้วยบุคคลที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมแฟชั่น เรามีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพสูงและการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีมาตรฐานคุณภาพสูง.”

6.แผนการเงิน : แสดงการเปรียบเทียบรายรับและรายจ่าย และการสรุปผลกำไรและขาดทุนโดยใช้งบประมาณ รวมถึงการวางแผนการเงินในระยะยาว เช่น
ตัวอย่าง: “แผนการเงิน: เราคาดว่ารายรับจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านบาทในปีแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านบาทในปีที่ 2 โดยรายจ่ายจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เราสามารถจัดการได้ และเราคาดว่าจะได้กำไรสุทธิในปีที่ 3.”

7.กำหนดเป้าหมาย : ระบุเป้าหมายทางธุรกิจและวัตถุประสงค์ในระยะยาวและระยะสั้น เช่น
ตัวอย่าง: “กำหนดเป้าหมาย: ในระยะ 3 ปี เรามีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ของเราเป็น 30% และเรียกคืนทุนลงทุนในระยะ 5 ปี.”

8.แผนกำหนดเวลา : กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการแต่ละขั้นตอนของแผนธุรกิจ เช่น
ตัวอย่าง: “แผนกำหนดเวลา: เรามีแผนการเปิดตัวสินค้าใหม่ในเดือนมกราคม และเริ่มโปรโมชั่นส่วนลดในเดือนเมษายน เพื่อเพิ่มยอดขายในช่วงปีแรก.”

9.แผนฉุกเฉิน : นี่คือส่วนที่ระบุมาตรการที่คุณจะดำเนินการเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ, ปัญหาด้านการผลิต, หรือปัญหาในการจัดหาวัตถุดิบ ตัวอย่างข้อมูลแผนฉุกเฉิน:

  • ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุน้ำท่วมในพื้นที่โรงงานของเรา แผนฉุกเฉินจะระบุกระบวนการการอพยพพนักงานและการประสานงานกับหน่วยงานเจ้าหน้าที่สาธารณะเพื่อรับความช่วยเหลือ.
  • ในกรณีขาดแคลนของวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต แผนฉุกเฉินจะระบุการค้นหาแหล่งจัดหาวัตถุดิบสำรองและวิธีการปรับปรุงกระบวนการผลิตในกรณีฉุกเฉิน.

10.ภาคผนวก (Appendix) : เขียนอธิบายเอกสารต่างๆและแนบเอกสารสนับสนุน

การทำแผนธุรกิจที่ดี vs การทำแผนธุรกิจที่ไม่ดี

การทำแผนธุรกิจที่ดี vs การทำแผนธุรกิจที่ไม่ดี

แผนธุรกิจที่ดี:

  1. ชัดเจนและมีโครงสร้าง: แผนธุรกิจที่ดีจะมีโครงสร้างที่ชัดเจนและสามารถเข้าใจได้ง่าย เนื้อหาจะถูกจัดระเบียบอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนและส่วนต่าง ๆ ของแผนธุรกิจ
  2. การวิเคราะห์ตลาดและการศึกษาคู่แข่ง: แผนธุรกิจที่ดีจะมีการวิเคราะห์ตลาดที่ลึกซึ้งและการศึกษาคู่แข่งอย่างถูกต้อง เพื่อมองเห็นโอกาสและความเสี่ยงในตลาด
  3. กลยุทธ์การตลาดเฉียบขาด: มีกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจนและเฉียบขาด รวมถึงการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและแผนการโปรโมทที่มีเสถียรภาพ
  4. ข้อมูลการเงินที่ถูกต้อง: การทำแผนธุรกิจที่ดีจะรวมถึงข้อมูลการเงินที่ถูกต้อง เช่น การประมาณรายได้ รายจ่าย กำไรและขาดทุน
  5. การวิเคราะห์ความเสี่ยงและแผนการจัดการความเสี่ยง: แผนธุรกิจที่ดีจะรวมถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและแผนการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม

แผนธุรกิจที่ไม่ดี:

  1. ไม่ชัดเจนและไม่มีโครงสร้าง: แผนธุรกิจที่ไม่ดีอาจขาดความชัดเจนและไม่มีโครงสร้างที่เหมาะสม ทำให้ยากต่อการเข้าใจและนำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่ไม่มีเสถียรภาพ
  2. ข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดไม่เพียงพอ: การขาดข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดที่เพียงพออาจทำให้ไม่เข้าใจตลาดและการแข่งขันอย่างถูกต้อง
  3. กลยุทธ์การตลาดไม่ชัดเจน: แผนธุรกิจที่ไม่ดีอาจขาดกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจน ทำให้ยากต่อการเพิ่มยอดขายและสร้างลูกค้า
  4. ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง: ข้อมูลการเงินที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้การตัดสินใจทางการเงินเป็นไปไม่ถูกต้อง
  5. ไม่มีแผนการจัดการความเสี่ยง: แผนธุรกิจที่ไม่ดีอาจไม่มีการระบุความเสี่ยงที่เป็นไปได้และวิธีการจัดการความเสี่ยง

การทำแผนธุรกิจที่ดีช่วยให้คุณมีทิศทางและยอดขายที่ดีขึ้น ในขณะที่แผนธุรกิจที่ไม่ดีอาจทำให้คุณประสบความล้มเหลวและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นได้.

ทำไมต้องทำแผนธุรกิจ

องค์ประกอบแผนธุรกิจ
การทำแผนธุรกิจมีความสำคัญมากสำหรับธุรกิจในเหล่าต่อไปนี้:
  1. ช่วยกำหนดทิศทางและวัตถุประสงค์: แผนธุรกิจช่วยให้คุณกำหนดทิศทางและวัตถุประสงค์ของธุรกิจของคุณอย่างชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการประมาณและวางแผนก้าวต่อไป
  2. ช่วยในการดำเนินธุรกิจ: แผนธุรกิจช่วยให้คุณมีข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีเสถียรภายในระยะเวลาที่กำหนด
  3. สนับสนุนการระดมทุน: แผนธุรกิจเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการโชว์ความมั่นคงของธุรกิจและโอกาสทางธุรกิจแก่นักลงทุน จึงช่วยในการระดมทุน
  4. ช่วยในการติดตามและวิเคราะห์ผล: แผนธุรกิจช่วยให้คุณมีกรอบเวลาและเป้าหมายที่จะติดตามและวิเคราะห์ผลการดำเนินธุรกิจ เพื่อปรับปรุงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
  5. ช่วยในการจัดการความเสี่ยง: การระบุและการวางแผนการจัดการความเสี่ยงในแผนธุรกิจช่วยลดความไม่แน่นอนในธุรกิจ
  6. ช่วยในการเจรจาต่อรอง: แผนธุรกิจมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเจรจากับพันธมิตรธุรกิจ ลูกค้า และผู้ให้สินเชื่อ
  7. สร้างความมั่นคง: การมีแผนธุรกิจที่ดีช่วยสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นในธุรกิจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อให้พนักงาน ลูกค้า หรือพันธมิตรธุรกิจ
  8. ช่วยในการสร้างยอดขาย: การระบุกลยุทธ์การตลาดและวางแผนการโปรโมทช่วยในการเพิ่มยอดขายและผู้ซื้อใหม่
  9. ช่วยในการเตรียมความพร้อมสำหรับโอกาสและความท้าทาย: แผนธุรกิจช่วยในการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโอกาสและความท้าทายในอนาคต
  10. ช่วยในการบริหารและตรวจสอบการดำเนินงาน: แผนธุรกิจทำให้คุณมีโครงสร้างสำหรับการบริหารและตรวจสอบการดำเนินงานของธุรกิจในระยะยาวและระยะสั้น

ดังนั้น การทำแผนธุรกิจมีความสำคัญเพื่อความประสงค์ในการกำหนดทิศทาง การดำเนินงาน และความสำเร็จของธุรกิจของคุณในระยะยาวและระยะสั้นของเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคต.

ทางลัดไปเมนูต่าง ๆ